บทความที่ได้รับความนิยม

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

อาหารต้านมะเร็ง

อาหารต้านมะเร็ง
อาหารต้านมะเร็ง
     หลายท่านคงได้รับข้อมูลจากการบอกเล่าหรือการอ่านว่า การเลือกรับประทานอาหารสามารถป้องกันหรือรักษาโรคมะเร็งอย่างได้ผล ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว เราควรจะเลือกรับประทานอาหารบางอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็ง หรือถ้าเป็นโรคมะเร็งแล้ว ควรจะเลือกบริโภคอาหารอะไรเพื่อช่วยควบคุมโรค คำถามเหล่านี้ เป็นคำถามที่ผู้ป่วยจำนวนมากในปัจจุบันถามต่อแพทย์ผู้รักษา โดยหวังว่า แพทย์สามารถให้คำตอบได้ว่า ควรจะรับประทานอาหารอย่างไรเพื่อให้ผลการรักษาได้ผลดีที่สุด
     ปัจจุบัน มีข้อมูลการศึกษาเกี่ยวกับผลของการรับประทานอาหารกับต่อโรคมะเร็งอยู่พอ สมควร มักพบว่า อาหารบางชนิดอาจมีผลต่อการเกิด หรืออาจป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้บ้าง เช่น อาหารที่มีสารไฮโดรคาร์บอนที่เกิดจากการเผาไหม้ปิ้ง ย่าง จนเกรียม อาหารที่มีส่วนผสมของไนไตรทจากสารรักษาสภาพอาหารที่ไม่ถูกต้อง อาหารหมักดอง และอาหารที่มีความชื้นและมีเชื้อราปนเปื้อน ทำให้มีโอกาสเกิดมะเร็งมากกว่าอาหารอื่น


 



 
     อาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่ปรุงโดยการทอดหรือผัดซึ่งมีไขมันสูงจนทำให้เกิดโรคอ้วน อาจเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งสูงขึ้น ในทางตรงกันข้าม มีทฤษฎีว่าโรคมะเร็งอาจเกิดจากผลของสารอนุมูลอิสระ (oxygen free radical) ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาของการเผาผลาญอาหาร ถ้ามีอนุมูลอิสระนี้มากเกินไป เซลปกติอาจกลายพันธุ์เป็นเซลมะเร็งได้ ส่วนสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า antioxidant พบมากในผักและผลไม้บางชนิด เช่น ชาเขียว ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เป็นต้น จะช่วยต้านผลของสารอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจช่วยลดโอกาสเป็นมะเร็งได้ระดับหนึ่ง การ ทานเนื้อสัตว์ ประเภทเนื้อแดง ไขมันสูง ให้พอเหมาะ ทานปลามากขึ้น เน้นผักผลไม้ให้มากขึ้น อาหารประเภทกากใย เช่น ผักผลไม้บางชนิด ซึ่งมีบทบาทในการกำจัดอนุมูลอิสระ อาจช่วยลดโอกาสการเป็นมะเร็งได้  อย่างไรก็ตาม การเกิดโรคมะเร็งไม่ได้เกิดขึ้นจากผลของอาหารอย่างเดียวโดยตรง ไม่เช่นนั้นแล้ว ครอบครัวเดียวกันที่มีใครคนหนึ่งเป็นมะเร็ง
      สมาชิกท่านอื่นในครอบครัวที่รับประทานอาหารคล้ายกันก็น่าที่จะเป็นมะเร็งแบบ เดียวกันไปด้วยทั้งหมด ดังนั้น อาหารชนิดใดชนิดหนึ่งไม่มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้ผู้บริโภคเกิดมะเร็งโดยตรง แต่น่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการก่อโรคมะเร็ง ดัง นั้น อาหารเพื่อต่อต้านการเกิดมะเร็งจึงควรเป็นอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน ไม่ใช่เลือกที่จะบริโภคหรือไม่บริโภคอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง และเป็นอาหารที่มีความสะอาด เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ



     สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งอยู่แล้ว ความต้องการอาหารจะแตกต่างจากคนปกติ เพราะผู้ป่วยมะเร็งต้องได้รับการรักษาด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การผ่าตัด การฉายรังสี การรับยาเคมีบำบัด ซึ่งต้องการสารอาหารเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ เพื่อซ่อมแซมเซลปกติ และ ช่วยให้ร่างกายสามารถรับการรักษาได้ครบถ้วนตามแผนที่แพทย์ได้วางไว้ นอกจากนี้ โรคมะเร็งหรือวิธีการรักษาอาจมีผลทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เบื่ออาหาร แผลอักเสบเยื่อบุช่องปากหรือหลอดอาหาร ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งมีแนวโน้มที่จะขาดสารอาหาร และมีน้ำหนักตัวลดลง

     ดังนั้นควรพยายามรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ในระหว่างการรักษา ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และมีสารอาหารครบถ้วนตามความต้องการของร่างกาย นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญมากคือ อาหารต้องสุกและสะอาด ในขณะที่มีภาวะเม็ดโลหิตขาวต่ำหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ ต้องหลีกเลี่ยงอาหารไม่สุก เช่น หอยนางรม กุ้งเต้น ปลาดิบ
ผู้ ป่วยที่มีอาการเบื่ออาหาร ควรทานอาหารทีละน้อย แต่บ่อยขึ้น ในบางกรณี ผู้ป่วยที่ไม่สามารถทานอาหารเองทางปากได้เพียงพอ อาจจำเป็นต้องรับอาหารทางสายยางทางจมูกหรือหน้าท้องเข้ากระเพาะอาหาร หรือทางเส้นเลือดดำ

     ปัจจุบันมักมีผู้ป่วยโรคมะเร็งได้รับการบอกเล่าว่า ควรเลือกทานแต่อาหารจำพวกผักและเนื้อปลา เพราะมะเร็งชอบอาหารโปรตีนจากเนื้อสัตว์อื่นที่ไม่ใช่ปลา ทำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งหลายรายต้องประสบกับภาวะขาดสารอาหารจากการปฏิบัติ ตัวอย่างเคร่งครัดตามความเชื่อดังกล่าว     ผลลัพธ์คือน้ำหนักตัวลดลง ทนการรักษาได้น้อยลง ทำให้รับการรักษาไม่ได้ตามแผน ซึ่งมีผลให้ผลการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร นอกจากนี้ยังเกิดความวิตกกังวลมากจนเกินพอดีกับการที่จะรับประทานอาหารนอก กฏที่ตั้งไว้ ความจริงแล้ว เซลมะเร็งเป็นเซลในร่างกายของผู้ป่วย แต่มีความสามารถบางอย่างสูงกว่าเซลปกติ แม้ว่าผู้ป่วยจะอดอาหารโดยไม่รับประทานอะไรเลย เซลมะเร็งก็ยังมีความสามารถในการเจริญเติบโตได้
      ที่สำคัญ ยังไม่เคยมีหลักฐานว่าการเลือกรับประทานอาหารจะทำให้มะเร็งโตช้าลงหรือฝ่อลงแต่อย่างใด เนื้อสัตว์หนึ่งคำที่รับประทานเข้าไป ย่อมกระจายไปสู่เซลต่างๆ ทั่วร่างกาย ไม่ได้เลือกที่จะวิ่งไปสู่ก้อนมะเร็งเพียงที่เดียว ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นของโรคมะเร็งตามมาอีกด้วย ดังนั้น ขอ ย้ำว่าอาหารต้านมะเร็งควรรับประทานคืออาหารที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วนและ สมดุล มีความสุกสะอาด ไม่ใช่เลือกรับประทานอาหารเพียงชนิดใดชนิดหนึ่ง




นายแพทย์เอกภพ สิระชัยนันท์
หน่วยมะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ขอขอบคุณที่มา

6 วิธีออกกําลังกาย

6 วิธีออกกําลังกาย

       "หุ่นเฟิร์ม กระชับ ทุกสัดส่วน"วันนี้เรามี 6 วิธีออกกําลังกาย ให้ หุ่นเฟิร์ม กระชับ ทุกสัดส่วนค่ะ คุณผู้หญิงคนไหนที่ยังไม่เบื่อกับ วิธีออกกําลังกาย ล่ะก็เราของท้าให้คุณลอง 6 วิธีออกกําลังกาย ของเราค่ะ แล้วคุณจะได้มี หุ่นเฟิร์ม กระชับ ทุกสัดส่วนอย่างที่ใจคุณต้องการเลยค่ะ เรียกได้ว่าห่างไกลไขมันหรือน้ำหนักที่กวนใจคุณไปได้เลยค่ะ ด้วย 6 วิธีออกกําลังกายนี้นอกจากจะทำให้หุ่นเฟิร์ม กระชับ ทุกสัดส่วนแล้วประเด็นหลักของวิธีออกกําลังกายนี้ต้องการให้คุณนั้นมีหน้าท้องแบนราบ ไหล่และแขนเข้ารูป ต้นแขนกระชับ และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ขาเรียวสวย สะโพกกลมกลึง ระบบไหลเวียนในร่างกายแข็งแรง ที่สำคัญนะค่ะวิธีออกกําลังกายนี้ยังไม่ยุ่งยากแถมใช้เวลาเพียงนิดเดียวเท่านั้นค่ะ นั้นเรามาเริ่ม 6 วิธีออกกําลังกาย กันเลยดีกว่าค่ะ




6 วิธีออกกําลังกาย


1.หน้าท้องแบนราบ

        เริ่มด้วยการนอนคว่ำลงกับพื้นให้แขนด้านในและหัวเข่าชิดพื้นไว้ จากนั้นค่อย ๆ ชันศอกทั้งสองข้างขึ้นยันพื้นไว้โดยให้แขนทั้งสองข้างนี้แยกออกจากกัน ความกว้างประมาณสะโพก พร้อมกันนั้นให้ใช้ปลายนิ้วเท้ายันพื้นไว้ให้ลำตัวลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อยออกแรงบริเวณหัวไหล่กดลำตัวลงสู่พื้น พยายามเกร็งนิ้วเท้าและแขนด้านในไว้อย่าให้ลำตัวติดพื้น กล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องจะตึงขึ้นทรงตัวให้อยู่ในท่านี้ประมาณ 30 วินาที ทำซ้ำประมาณ 3-4 ครั้ง หรือให้ครบ 1 นาทีก็ได้


2.แขนและหัวไหล่เข้ารูป

      ท่าชกลมนี้สามารถทำให้กล้ามเนื้อกระชับได้ไม่แพ้ท่าอื่น ๆ เริ่มด้วยท่ายืนแยกเท้าความกว้างประมาณสะโพก ก้าวขาซ้ายไว้ด้านหน้าขาขวาเล็กน้อยโดยบิดส้นเท้าซ้ายเข้าด้านในเล็กน้อยปลายเท้าขวาหันออกไปด้านหน้า ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นให้ข้อศอกแนบลำตัวไว้กำมือไว้ให้แน่นและวางไว้ในตำแหน่งใต้คาง ปล่อยหมัดขวาแย็บออกไปด้านหน้าพร้อมเหยียดขาขวาให้ตึงด้วย ระหว่างนี้อย่าลืมบิดสะโพกไปด้านขวาเล็กน้อยหมัดที่ปล่อยออกไปพยายามเหยียดให้ตึงและฝ่ามือคว่ำลง จากนั้นให้สลับหมัดเป็นอีกข้างหนึ่งอย่างรวดเร็วหมัดข้างที่ดึงกลับให้กลับมาไว้ที่ตำแหน่งใต้คางเช่นเดิม






3.ต้นแขนกระชับ

      อุปกรณ์เสริมที่ต้องนำมาใช้สำหรับท่านี้ก็คือ ดัมเบลล์ค่ะ เมื่อเลือกดัมเบลล์ที่เหมาะสมแล้วให้ยืนแยกเท้าทั้งสองข้างออกประมาณสะโพก โดยให้ฝ่ามือที่ถือดัมเบลล์หันเข้าลำตัว ก้าวขาขวาไปทางด้านหลังและยกส้นเท้าไว้เหนือพื้นค่อย ๆ งอเข่าขวาลงให้อยู่ในระดับข้อเท้าซ้าย จากนั้นค่อย ๆ ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาระดับหัวไหล่โดยให้ฝ่ามือหันเข่าหัวไหล่ค่อย ๆ ชูแขนขึ้นเหนือศีรษะทำซ้ำท่านี้ โดยสลับข้างขาไปเรื่อย ๆ ประมาณ 8-12 ครั้งค่ะ



4.เพิ่มความยืดหยุ่นให้กล้ามเนื้อขา

      นอนหงายบนพื้นราบงอเข่าซ้ายขึ้นค่อย ๆ ดึงหัวเข่าขวาให้ชิดกับหน้าอก จากนั้นค่อย ๆ เหยียดขาขวาขึ้นตั้งฉากกับพื้นช้า ๆ โดยใช้มือทั้งสองข้างจับบริเวณต้นขาไว้ เพื่อช่วยในการทรงตัว ค้างไว้ประมาณ 2 วินาที จากนั้นจึงเริ่มทำซ้ำอีกครั้งโดยสลับทำอีกข้างหนึ่ง


5.ขาเรียวสวยพร้อมสะโพกกลมกลึง

      ยืนแยกเท้าทั้งสองข้างออกเล็กน้อยวิ่งอยู่กับที่ โดยระหว่างที่วิ่งให้ยกหัวเข่าสูงเท่าที่จะทำได้ แกว่งแขนสลับข้างไปเรื่อย ๆ ในระหว่างการวิ่ง วิ่งไปเรื่อย ๆ ค่ะ เพื่อกล้ามเนื้อขาและสะโพกที่กระชับมากยิ่งขึ้น


6.กระตุ้นระบบไหลเวียนในร่างกาย

      ท่าบริหารนี้ไม่ยากสักเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับตัวของคุณเองค่ะ เพราะท่านี้ก็คือการเต้นสะบัดร่างกายทั้งตัว เพื่อเพิ่มการไหลเวียนในร่างกาย อาจจะเปิดเพลงประกอบลีลาก็ได้ค่ะ เช่น เพลงฮิปฮอป ร็คแอนด์โรล รับรองว่าทั้งสนุกและช่วยให้แข็งแรงได้อย่างไม่น่าเชื่อเชียวค่ะ


อย่าลืมนะคะว่า ควรออกกำลังกายให้สนุกควบคู่ไปกับการทานอาหารให้สมดุลรับรองค่ะว่าคุณสาว ๆ จะมีหุ่นเฟิร์มสวย และแข็งแรงไม่แพ้สาวคนอื่น ๆ แน่นอน เห็นไหมคะว่าจะสวยทั้งทีไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย จริงไหมคะ?






ขอขอบคุณข้อมูลจาก สวยด้วยแพทย์ ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

           เวลา^^

ที่มา  http://www.n3k.in.th/%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B9%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2

กล้วยหอม

ประโยชน์ของกล้วยหอม

       กล้วยหอมเป็นอีกหนึ่งผลไม้ไทยที่มีผลงานวิจัยแล้วว่า เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารต่าง ๆ มากมาย ที่ร่างกายควรได้รับ และให้พลังงานมากถึง 100 กิโลแคลอรี่ต่อหน่วยเลยทีเดียวเนื่องจากว่า ในกล้วยหอมนั้นมีน้ำตาลอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ ซุคโคส ฟรักโตส และกลูโคส รวมทั้งเส้นใยอาหาร ดังนั้นร่างกายเราจะได้รับพลังงานและสามารถนำไปใช้ได้ทันที ผลจากการวิจัย แค่กล้วยหอมเพียง 2 ลูก ก็สามารถให้พลังงานกับเราได้มากถึง 90 นาที 
        

      นอกจากคุณประโยชน์ในแง่สารอาหารแล้ว กล้วยหอมยังมีสรรพคุณอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย  ดังนี้
 
1.ลดอาการซึมเศร้า
     มีการศึกษาทดลองกับกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้า เมื่อให้รับประทานกล้วยหอมแล้ว ทำให้รู้สึกดีขึ้น ทั้งนี้ในกล้วยหอมมีสาร Tryptophan เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ร่างกายสามารถแปลงเป็น Serotonin สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุข
 

2.pms. (Premenstrual syndrome)
      เป็นอาการของคุณผู้หญิงในช่วงระหว่างก่อนมีหรือมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดแปรปรวนง่าย รวมไปถึงอาการปวดหัว ปวดท้อง หากรับประทานกล้วยหอมก็จะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการเหล่านี้ได้
 

3.โรคโลหิตจาง
     ในกล้วยหอมจะอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง ฮีโมโกลบิน ให้กับเม็ดเลือดแดง จะช่วยป้องกันการเกิดโรคโลหิตจางได้
 

4.ช่วยลดความดันโลหิต
     กล้วยหอมมีสารอาหารทั้งวิตามินและเกลือแร่อยู่หลายชนิด เกลือแร่ที่สำคัญอีกตัวหนึ่งคือ โพแทสเซียม จากการวิจัยยืนยันแล้วว่าโพแทสเซียมในผลไม้ สามารถช่วยลดความดันโลหิตให้กับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงได้
 

5.เพิ่มพลังสมอง
      สารอาหารที่อยู่ในกล้วยหอมสามารถกระตุ้นความตื่นตัวให้กับสมองได้ จากการวิจัยเด็กนักเรียนในประเทศอังกฤษกลุ่มหนึ่งพบว่าการรับประทานกล้วยหอมเป็นอาหารเช้าก่อนเข้าห้องสอบ จะช่วยให้สมองทำงานได้อย่างเต็มที่ และทานอีกในช่วงกลางวันจะทำให้รู้สึกสดชื่นและตื่นตัวได้


 
6.ลดความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดสมอง
      การรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมจะช่วยลดภาวะจากการเป็นโรคหลอดเลือด สมองได้ ดังนั้นกล้วยเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
 

7.ลดการเกิดก้อนนิ่วในไต
     บางครั้งแคลเซียมจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะเรามาก ทำให้ไตทำงานหนักจะอาจะเกิดเป็นก้อนนิ่วได้ ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมอย่างกล้วยหอมจะช่วยให้ลดการเกิด นิ่วในไตได้
   


8.ลดการเกิดแผลในกระเพาะและลำไส้
     กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่มีใยอาหารอยู่มาก ใยอาหารเหล่านี้จะไปช่วยให้ลำไส้เล็กย่อยอาหารได้ดีขึ้น รวมถึงยังช่วยเคลือบกระเพาะอาหารให้ลดการระคายเคืองของกรดต่าง ๆ ไม่ให้เกิดแผลในกระเพาะ นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการท้องผูกอีกด้วย
 

9.ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง
     ในกล้วยหอมจะมีสารลดกรดธรรมชาติ การรับประทานกล้วยหอมจึงสามารถแก้อาการดังกล่าวได้
 

10.กล้ามเนื้อเป็นตะคริว
     คนที่กล้ามเนื้อเป็นตะคริวนั้นส่วนหนึ่งมาจากการขาดโพแทสเซียม หรือมีโพแทสเซียมในร่างกายต่ำ การทานกล้วยหอมเป็นประจำจะช่วยลดอาการดังกล่าวได้
 

11.ระบบประสาท
     ในกล้วยหอมนอกจากอุดมไปด้วยโพแทสเซียมแล้วยังมีวิตามินบีอยู่อีกมาก วิตามินบีจะช่วยเรื่องระบบประสาทในร่างกาย และการทำงานของสมองให้สมดุล


         ขอบคุณค้า

      ที่มา http://thaifruit4you.blogspot.com/